บริหารเงิน

ในยุคที่วัฒนธรรมและการสื่อสารไร้พรมแดน ด้วยสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ทำให้ผู้คนได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น เราได้พบเห็นการใช้ชีวิตจากผู้คนทั่วทุกมุมโลก ทั้งในเรื่องของชีวิตประจำวัน แนวคิด ค่านิยม การบริโภค ความงาม หรือความสำเร็จ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนมีชื่อเสียง หรือคนทั่วไปก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะมีความต้องการใช้ชีวิต ตามกระแสสังคม หรือตามคนที่เราชื่นชอบ และด้วยความต้องการเหล่านี้เองที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายที่มากขึ้น ทำให้คนที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ ในขณะที่ตนเองยังไม่พร้อม หรือการรูดบัตรเครดิต เพื่อจ่ายค่าโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหารเสริม คอร์สเสริมสวย ท่องเที่ยว อาหารมื้อหรู รวมถึงสิ่งที่เราเรียกกันติดปากว่า “ของมันต้องมี” ในขณะที่เราไม่สามารถจะชำระเต็มจำนวนได้ ซึ่งการบริโภคที่มากเกินฐานะ และการก่อหนี้เกินกว่าที่เราจะจัดการได้นี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาณความเสี่ยงที่จะเสียสุขภาพทางการเงิน

กลยุทธ์การบริหารเงินหลังเกษียณ น้ำ 3 ถัง

เนื่องจากชีวิตเราเกี่ยวข้องกับเรื่องการเงินอยู่ตลอด ดังนั้นการจัดการและบริหารการเงินให้เป็นจึงเป็น skill หรือทักษะที่ควรต้องมี มารู้จักและพัฒนาทั้ง 4 ทักษะทางด้านการเงิน เพื่อความมั่งคั่ง และเพื่อเป้าหมายทางการเงินที่เราต้องการกัน 1. ทำงานอย่างฉลาด เพื่อเพิ่มรายได้ ทักษะนี้เป็นทักษะแรกที่ต้องมี เพราะถ้าเราไม่มีรายได้เข้ามา ก็ไม่มีเงินมาให้เราบริหารจัดการ ซึ่งเราควรมีรายได้อย่างน้อย 2 ทาง และควรมีรายได้ที่เป็น passive income เข้ามาด้วย ไม่ใช่มีรายได้เฉพาะ active income คุณปู่บัฟเฟตเคยกล่าวไว้ “If you don't find a way to make money while you sleep, you will work until you die.” ถ้าคุณไม่สามารถมีรายได้เข้ามาได้แม้ในขณะที่คุณหลับ คุณต้องทำงานไปตลอดชีวิต

“การบริหารเงิน” ...ไม่ยากอย่างที่คิด!!! เคยได้ยินกันไหมครับ “หลักการบริหารเงินแบบ 6 Jars System of Money Management” แปลเป็นไทยว่า “การบริหารเงินแบบ 6 ขวดโหล” ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 2007 โดย T. Harv Eker นักเขียนผู้เป็นเจ้าของหนังสือขายดีระดับโลกที่ชื่อว่า “Secrets of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน)” นั่นเอง T. Harv Eker เสนอแนวคิดที่เรียบง่าย เน้นให้ความสำคัญกับการแบ่งรายได้ที่ได้รับทุกครั้งออกตามความต้องการทางการเงินเป็น 6 ส่วน ซึ่งเปรียบเสมือนกับการแบ่งเงินที่ได้รับมาใส่ไว้ในขวดโหลจำนวน 6 ใบ (Money in the Jars) โดยในแต่ละโหลจะเป็นสัญลักษณ์แทนความต้องการทางการเงินที่คลอบคลุมชีวิตแทบทุกเรื่องของคนๆ หนึ่งเอาไว้แล้ว (ซึ่งอาจมีระยะเวลาในการใช้จ่าย การออมเงิน และการลงทุนแตกต่างกัน) และมีการกำหนดสัดส่วนของเงินที่ต้องแบ่งคิดเป็นร้อยละของรายได้ในแต่ละโหลไว้อย่างชัดเจน โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ ขวดโหลใบที่ 1 : เงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (Necessity Account) ตามวิถีชิวิต (Life Style) ของแต่ละคน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ รวมถึงค่าใช้จ่ายรายเดือนที่จำเป็นต่างๆ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น ถือเป็นรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ใดๆ กลับคืนมา โดยคิดเป็น 55% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ ขวดโหลใบที่ 2 : เงินสำหรับใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อซื้อความสุขสนองความชอบให้แก่ตนเอง (Play Account) เช่น ค่าดูหนัง ค่าช็อปปิ้ง และท่องเที่ยว เป็นต้น โดย 10% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับจะถูกแบ่งอยู่ในโหลใบนี้ ถือเป็นรายจ่ายเพื่อให้รางวัลชีวิตแก่ตนเองจากการทุ่มเทกับการทำงานหนักมาตลอด ซึ่งสามารถนำมาใช้จ่ายได้อย่างอิสระเพื่อทำอะไรก็ได้ที่สร้างความสุขให้แก่ชีวิตตนเองครับ ขวดโหลใบที่ 3 : เงินสำหรับการลงทุนเพื่อให้บรรลุอิสรภาพทางการเงิน (Financial Freedom Account) ถือเป็นรายจ่ายที่ก่อให้เกิดรายได้กลับคืนมาในอนาคต ซึ่งเป็นได้ทั้งการลงทุนประกอบธุรกิจ หรือการลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ เช่น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ หุ้นกู้ สลากออมสิน เป็นต้น แต่ถ้าจะให้ดีก็ต้องลงมือศึกษาทางเลือกในการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองให้ดีเสียก่อน เพราะการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยงที่จะขาดทุน หรือหมดตัวได้ “นอกจากนี้ ยังต้องมีวินัยในการลงทุนอีกด้วยถึงจะมีโอกาสที่เงินลงทุนจะงอกเงยจนบรรลุอิสรภาพทางการเงินตามที่ตั้งหวังไว้ โดยรายจ่ายส่วนนี้คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ” ขวดโหลใบที่ 4 : เงินลงทุนเพื่อการศึกษาหาความรู้ใส่ตัว (Education Account) โดยคิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ ถือเป็นรายจ่ายที่ช่วยต่อยอดความสามารถ เพิ่มทักษะ และพัฒนาความรู้ให้แก่ตนเอง เช่น ค่าเรียนศึกษาต่อ ค่าซื้อหนังสือ ค่าฝึกอบรมในหัวข้อต่างๆ เป็นต้น ซึ่งตรงกับที่ Benjamin Franklin นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังระดับโลกได้เคยกล่าวไว้ว่า “An Investment in Knowledge Pays the Best Interest” แปลเป็นไทยว่า "การลงทุนศึกษาหาความรู้ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด” นั่นเอง ขวดโหลใบที่ 5 : เงินออมระยะยาวสำหรับใช้ในอนาคต (Long-term Saving for Spending Account) เป็นการสะสมเงินในระยะยาวเพื่อไว้ใช้ซื้อของขนาดใหญ่ มูลค่าสูงในอนาคต เช่น เงินดาวน์ซื้อบ้าน หรืออาจเป็นเงินออมที่จ่ายให้ตัวเอง (Pay Yourself First) อย่างสม่ำเสมอในระยะยาวเพื่อไว้ใช้ในยามเกษียณ หรือยามฉุกเฉิน โดยคิดเป็น 10% ของรายได้ที่ได้รับ ขวดโหลใบสุดท้าย : เป็นเงินในส่วนที่เหลือ 5% ของรายได้ที่ได้รับ เน้นไปที่การให้ (Give Account) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน และตอบแทนให้แก่สังคม ด้วยการนำเงินส่วนนี้ไปบริจาคการกุศล หรือทำบุญ หรือแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่คนรอบข้าง ทั้งนี้ก็เพราะ T. Harv Eker มีความเชื่อว่า “ยิ่งให้ ก็จะยิ่งได้รับคืน (By Giving Away Money, the Universe Will Reward You by Giving You Back More)” เห็นมั้ยครับว่า “แนวคิดบริหารเงิน” แบบ 6 ขวดโหล นี้ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดเลย ใครๆ ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะมีรายได้มากน้อยเพียงใด จึงอยากให้ได้ลองลงมือทำกันดูครับ แหล่งที่มาข่าว wealthy thai

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้